เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๖ พ.ค. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ธรรมะคือตามมีตามได้ ธรรมะคือธรรมชาติ คำว่า “ธรรมะ ธรรมชาติ” เราก็ว่าธรรมะคือธรรมชาตินี่แหละ แต่เวลาปฏิบัติไปแล้วนะ ธรรมะนี่เหนือธรรมชาติ เวลาดู เห็นไหม เขาว่าจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ถ้าจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส นี่ผู้เป็นพระอรหันต์แล้วเอาอะไรมาเกิด นี่เถียงกันอยู่อย่างนั้นนะ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส พวกเราจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส

“จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส” ไอ้จิตเดิมแท้นะคือตัวอวิชชา!

ธรรมชาติก็เหมือนกัน ธรรมชาติเป็นสิ่งที่เกิดสิ่งที่มีชีวิตด้วย การดำรงของธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงของสภาวธรรมชาติ เรื่องสัตว์ เรื่องเซลล์ เรื่องสัตว์นะมันเกิดจากธรรมชาติ มีแหล่งน้ำไง เราไปสำรวจกันในอวกาศ เห็นไหม ถ้าดาวดวงไหนมีแหล่งน้ำนะ จะมีสิ่งมีชีวิต

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมชาติทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตไง แล้วธรรมชาติมันก็เป็นธรรมะอันหนึ่ง ธรรมะอย่างที่เราเข้าใจธรรมชาติใช่ไหม เราเข้าใจเรื่องการดำรงชีวิตของเรา เราเข้าใจเรื่องอาหาร เรื่องความเป็นอยู่นี่ทำให้ร่างกายของคนนี่แข็งแรง ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องชีวิต เราไม่เข้าใจเรื่องอาหาร เราไปกินอาหารที่เป็นพิษ เราดำรงชีวิตของเรา อากาศก็ไม่บริสุทธิ์ เราไม่มีการออกกำลังกาย เห็นไหม ร่างกายเราก็ไม่แข็งแรง

ถ้าเรารู้เรื่องธรรมชาติ เราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ มนุษย์ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ มนุษย์ก็เกิดตายในธรรมชาติ ธรรมชาตินี่ก็เป็นธรรมอันหนึ่ง เราเข้าใจธรรมอันหนึ่ง นี่ไงที่ว่าเป็นปัญญาๆ คุยกันว่าเป็นปัญญา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา

แต่ถ้าปัญญาโดยพญามารไง ปัญญาอยู่ใต้กิเลส กิเลสมันครอบคลุมปัญญานั้นไว้นะ มันก็ไปเอาปัญญานี่มาเชือดคอเราไง ใครที่มีปัญญามาก มันก็ว่าเราแก้ไขสถานการณ์ได้ ปัญหามีไว้ให้แก้ไข ปัญหามีไว้ให้แก้ไข.. แก้ไขแล้วจบ

แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้เกิดปัญหาเลย ปัญหาเกิดไม่ได้ ถ้ามีปัญหาเกิดคือมีภวาสวะ คือมีสถานที่ ถ้ายังมีการคิดอยู่ ยังมีการดำรงอยู่นะ มันมีฐานของมันอยู่ สิ่งนั้นเกิดขึ้นมา เห็นไหม แต่เราไปตื่นกันว่าต้องมีปัญญา ปัญญา พอมีปัญหาขึ้นมาแล้วแก้ปัญหา ใช้ปัญญาแก้ปัญหา พอแก้ปัญหาก็จบกัน แก้ปัญหาก็จบกัน..

ก็ธรรมชาตินี่ไง ฝนตกแดดออกมันก็แปรสภาพของมันไป ฝนตกแดดออกมันก็เป็นสภาวธรรมชาติใช่ไหม แต่มันก็เป็นสิ่งที่ดำรงชีวิตกันมา มันก็เป็นฤดูกาลของมันเป็นอย่างนี้ มันไม่มีที่สิ้นสุดหรอก โลกนี้เป็นอจินไตย โลกนี้มีอยู่อย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในโลกนี้ ชมพูทวีปนี่ พระศรีอริยเมตไตรยก็มาตรัสรู้ต่อไปข้างหน้า เพราะอะไร? สิ่งมีชีวิตมันมีของมันสืบต่อมันไปไม่มีที่สิ้นสุดไง สิ่งนี้ไม่มีที่สิ้นสุด มีตลอดไป

แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีที่สิ้นสุด สิ้นสุดอย่างไร ตรงที่เกิดที่ว่าไม่มีสถานที่ตั้งของปัญหา ปัญหานี่ตั้งขึ้นมาไม่ได้ และสถานที่ตั้งปัญหาอยู่ที่ไหน? สถานที่ตั้งปัญหา ดูสิ ดูตึกรามบ้านช่องอยู่ที่ไหน อยู่บนแผ่นดิน เห็นไหม สรรพสิ่งการก่อสร้างต้องมีสถานที่ตั้งของมัน

ความคิดก็เหมือนกัน ความคิดความรู้สึกมันมาจากไหน มาจากที่ตั้ง แล้วถ้าเกิดปล่อยว่างหมด ความว่าง ปล่อยวางหมดแล้ว แล้วสิ่งนี้เป็นนิพพานไง นี่เพราะปัญญาโลกคิดกันอย่างนั้น เห็นไหม ในการดำรงชีวิตของโลกมันถึงว่างไง เราก็เป็นคนดี เราจะไปวัดทำไมให้มันเดือดร้อน เราอยู่บ้านเราก็เป็นคนดี เราไม่ต้องทำอะไรเลยก็ เห็นไหม พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวางก็ปล่อยวางไง ปล่อยวางแบบขี้ลอยน้ำไง ลอยกันอยู่อย่างนั้นนะ ชีวิตจะลอยอยู่อย่างนั้นไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย ปล่อยวางโดยไม่ทำสิ่งใดเลย มันปล่อยวางได้อย่างไร?

นี่ก็เหมือนกัน ความว่างๆ ว่างอะไร ว่างของเด็กก็ได้ ว่างของผู้ที่ไม่รับผิดชอบก็ได้ ว่างของคนที่ไม่สนใจปัญหาอะไรก็ได้ มันความว่างอย่างนั้น เห็นไหม แต่ความว่างขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าพูดยังเป็นความว่างอยู่ ยังมีคนมีความรู้สึกอยู่ นั้นยังมีสถานที่ตั้ง เห็นไหม แต่ถ้าไปทำถึงภวาสวะ.. เงียบกริบ ไม่มีสิ่งใดเลย แต่เป็นภาษาสมมุติ

เวลาวิมุตติ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงไม่ได้พูดถึงนิพพานเอาไว้เลย ในพระไตรปิฎกไม่ได้พูด ไม่ได้อธิบายถึงสถานที่ของนิพพานเลย เพราะอะไร เพราะมันเป็นภาษาสมมุติ ถ้ายังสมมุติขึ้นมาแล้วมันก็เข้ากับสมมุติ เห็นไหม ความว่างอย่างนี้เป็นความว่างแบบไม่รับผิดชอบ ถ้าความว่างแบบสัมมาสมาธิ ความว่างแบบติดในสมถะ ความว่างอย่างนั้นเจริญแล้วเสื่อม

ความว่างของพระอริยบุคคล เห็นไหม ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปความว่างอย่างนี้ว่างจากความเห็นผิด ความเห็นผิดในสักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดว่าสรรพสิ่งนี้เป็นเรา ความเห็นผิดอย่างนี้ ความว่างของพระสกิทาคามี เห็นไหม ความว่างอย่างนี้เป็นความว่างของโลกนี้ราบเป็นหน้ากลอง โลกนี้ สภาวะโลกนี่ไม่มีสิ่งใดเลย เพราะเราไปยึดมั่นถือมั่นมันเองถึงมีปัญหาเกิดขึ้นมา สิ่งที่ปัญหาเกิดขึ้นมาเพราะอะไร เพราะเราไปยึดใช่ไหม?

นี่เพราะพระโสดาบัน เวลาแยกกายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ แล้วจิตอันหนึ่งเป็นความรู้สึกส่วนหนึ่งมันออกไปจากจิต ออกไปจากจิตฟังสิ! จิตนี้มันมีสภาวะ มันมีสถานที่รับของมัน แล้วมันสลัดคืนสิ่งที่มันความเห็นผิดอันนั้น จิตนี้มันออกไป เห็นไหม นี่ความว่างเพราะอะไร?

เพราะมันมีจิตรับรู้ไง พระโสดาบันยังมีจิตรับรู้ จิตตัวนี้ยังเกิดอีก ๗ ชาติ เห็นไหม ความว่างของสกิทาคามีโลกนี้ราบเป็นหน้ากลอง เพราะเราไปยึดมั่นถือมั่น เราถึงต้องไปเกิดมีอุปาทาน เห็นไหม ความว่างแบบนี้ก็เป็นความว่างเพราะมีจิตรับรู้

ความว่างของพระอนาคามี เพราะอะไร เพราะพอวางสิ่งต่างๆ ขึ้นมา นี่ปฏิฆะ ปฏิฆะคือข้อมูลเดิม ปฏิฆะคือข้อมูล กามราคะเกิดจากปฏิฆะ สิ่งที่เป็นปฏิฆะมันเกิดจากอะไร เกิดจากข้อมูลของตัว เห็นไหม โดยธาตุ คนนี่ชอบกันโดยธาตุ คนรักกันโดยธาตุ คนต้องการกันโดยธาตุ โดยธาตุคือความสัมพันธ์กัน ความต้องการกัน

บางคน เห็นไหม เราไม่ต้องการสิ่งใดเลย สิ่งต่างๆ เราเห็นมันมีความโต้แย้ง มันขัดแย้ง เห็นไหม นี่เพราะข้อมูลนี้ไม่ตรงกัน มันไม่เกิดสภาวะแบบนั้น นี่ความว่างอย่างนี้เป็นความว่างอันละเอียด

ที่ว่าในตำรา เห็นไหม ว่าพระโสดาบันละสักกายทิฏฐิ ขันธ์ ๕ ขาด เห็นไหม ขันธ์ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ทุกข์ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ทุกข์ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มี

แต่ความละเอียด สัญญาอันละเอียด เห็นไหม ข้อมูลปฏิฆะ ข้อมูลอันนี้ นี่ขันธ์อย่างหยาบ ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างละเอียดไง ขันธ์อย่างละเอียดเป็นนางตัณหา นางอรดีอยู่ตรงนี้ไง ถ้านางตัณหา นางอรดี นี่ความเป็นจริงเป็นสภาวะแบบนี้ นี่เป็นความหยาบความละเอียด แต่ในตำราเขียนว่าพระโสดาบันละขันธ์ ๕ แล้วขันธ์ไม่มี พอขันธ์ไม่มี พวกเราก็ไปติดกันว่าขันธ์ ๕ กามราคะจะละกันอย่างไร

นี่ความว่างมันละเอียดอย่างนี้ ความว่างมันต้องมีความว่าง ความว่างมันเป็นความว่างมาตลอด เพราะถ้าละกามราคะได้ จิตมันกลืนตัวของมันไป มันสำรอกคายออกหมดเลย คายอะไรออกไป คายขันธ์อย่างละเอียด คายข้อมูลอย่างของโลกไง กามราคะนี่เป็นกามภพ นี่ก็เป็นความว่าง โลกนี้ว่าง เห็นไหม เรือนว่าง พระอนาคาคือเรือนว่าง ไม่มีสิ่งใดเลย บ้านนี้ร้างไม่มีคนอยู่ แต่มีจิตนั้นอยู่เพราะไม่มีความรู้

นี่โมฆราชที่ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “โลกนี้เป็นราบ มองเหมือนโลกนี้ราบหมดเลย” โลกราบ ไอ้เรานะว่าง ว่างแบบขี้ลอยน้ำไม่มีสิ่งใดเลย ขนาดที่ว่าว่างขนาดโลกนี้ว่างหมดเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ใครเป็นคนรู้ว่าว่าง ให้กลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิ ทิฏฐิที่รู้ว่าว่างนั่นนะ” ถอนอัตตานุทิฏฐิกลับมารู้ว่าว่าง เห็นไหม โมฆราชถึงเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา

“ความว่าง” ความว่างนี่เป็นความพูดกันเฉยๆ นะ แต่ความเป็นจริงถ้าพอจิตมันทำลายตัวมันเอง มันจะรู้ว่างไม่ได้ มันจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย นิพพานคือความดับสนิทอันนั้น สิ่งนั้นมันเป็นการทำลายฐาน การทำลายภวาสวะ

นี่ปัญญาอย่างนี้ปัญญาโดยภาวนามยปัญญา มันใช้ได้โดยบุคคลคนนั้นไง ถึงเป็นสันทิฏฐิโกจากใจดวงนั้น แต่เราว่าเราใช้ปัญญากัน ตอนนี้เป็นปัจจุบันนี้เราโดนกิเลสหลอกนะ ว่าเป็นชาวพุทธนี่เป็นศาสนาที่มีปัญญา เราก็ใช้ปัญญากัน ปัญญาใคร่ครวญของเรา ปัญญานี้ปัญญากิเลสพาใช้หมด ปัญญาอ้างอิง ปัญญาซ่อนดาบไว้ในตัวมันเองไง เหมือนกับเราซ่อนดาบเอาไว้ ซ่อนยาพิษ เคลือบยาพิษด้วยน้ำตาล เห็นไหม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่สุดยอดมากเลย แล้วเราเอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเคลือบ มาครอบคลุมกิเลสอวิชชาความเห็นผิดในใจ แล้วก็อ้างอิงกันไปว่านี่เป็นปัญญา มันเป็นโลกียปัญญา มันเป็นปัญญาอ้างอิง เป็นปัญญาสมมุติ เป็นปัญญายืมมา มันไม่เป็นปัญญาของเรา

แต่ถ้าเป็นปัญญาของเรา มันต้องทำความสงบของใจเข้ามาก่อน เพราะสิ่งที่ว่ามันหลบอยู่ที่ไหน ฐานที่ตั้งที่ตั้งที่ไหน มันต้องไปแก้กันตรงนั้นไง เราต้องไปแก้กันตรงนั้น แต่ตอนนี้เรากำลังแก้กันที่เงา แก้กันที่เงานะ แก้ที่อาการของจิต ไม่ใช่แก้ที่ตัวจิตนะ ถ้าแก้ตัวจิต ปัญญาจะย้อนกลับเข้ามาจากภายใน ถ้าเข้ามาถึงภายใน มันจะนี่

ความว่างมันเกิดตรงนี้ ความว่างเหมือนกับเราทำความสะอาดที่ไหน ที่นั่นต้องสะอาด ที่ไหนที่มีความมืด ไม่มีแสงสว่าง เราเปิดแสงสว่างขึ้นมา แสงสว่างนั้นก็ทำลายความมืดนี้ไป ปัญญาก็เหมือนกัน ไปทำลายสภาวะในที่มันเป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรม เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านเคยประพฤติปฏิบัติมา ท่านจะ..

เหมือนกับว่าเราจะทำโครงการสิ่งใด แล้วเราตั้งโครงการขึ้นมาอ้างอิงให้ลูกศิษย์มันเห็น สิ่งที่เป็นนามธรรมก็พยายามเทศน์ออกมาเป็นรูปธรรม เป็นที่จับต้องได้ ความรู้สึกทั้งหมด นี่ความรู้สึกคืออาการของจิตทั้งหมด ความรู้สึก เห็นไหม แล้วตัวจิตนะ ตัวจิตก็เป็นความรู้สึกอันหนึ่ง มันเป็นพลังงานอันหนึ่ง มันต้องแสดงสิ่งนี้ออกมาให้จับต้องสิ่งนี้แล้วย้อนกระแสกลับไป ธรรมะอยู่ตรงนี้นะ!

ทำไมถึงมีปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธะล่ะ มีปริยัติคือการศึกษาเล่าเรียน ปัญญาๆๆ โลกียะ ปัญญาศึกษา ปัญญาจำมา ปัญญาแผนที่ ปัญญาข้อมูล ปัญญาอย่างนี้จำเป็นมาก ปริยัติจำเป็นมาก แต่เวลาศึกษามาแล้ว เวลาภาคปฏิบัติ ปริยัติส่วนปริยัติแล้ว เพราะปริยัติมันเป็นข้อมูล แต่ปฏิบัติคือการลง

ดูสิ ดูอย่างผู้ปกครอง เขาต้องมีที่ปรึกษา เห็นไหม เขามีนักวิชาการ นักวิชาการฝ่ายวิชาการเขาต้องศึกษาวิเคราะห์วิจัยขึ้นมา แต่ผู้ที่ออกไปปฏิบัติ เวลาออกปฏิบัติ นี่ภาคปฏิบัติมันเป็นแบบนี้ มันเป็นว่าเราต้องเข้าไปผจญเอง

พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลมีมหาศาลเลย แล้วแต่ละองค์ก็มีวิธีการของแต่ละองค์ต่างๆ กันมา ไม่มีการไปก๊อบปี้หรือซ้อนกันมา ซ้อนกันมาอย่างนั้นคือว่ามันเป็นข้อมูลของคนอื่น เป็นวิทยานิพนธ์ที่ซ้อนกัน ธรรมะไม่แต่งตั้งให้เป็นธรรมได้ เว้นไว้แต่! เว้นไว้แต่การพิจารณากาย สติปัฏฐาน ๔ พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรมเหมือนกัน

แต่เหมือนกัน การเหมือนกัน เห็นไหม ทำวิทยานิพนธ์เรื่องกายเหมือนกัน แต่วิทยานิพนธ์กายต่างกัน เห็นไหม ทำวิทยานิพนธ์เรื่องกาย แต่เรื่องของกระดูก แต่เรื่องของเส้นเลือด เรื่องของเซลล์ เรื่องของต่างๆ กายเหมือนกันแต่คนละกายเด็ดขาด กายเหมือนกันแต่พิจารณาต่างกัน ถ้าพิจารณาต่างกันเพราะมันต้องเข้าไปชำระกิเลสของตัวเองเหมือนกัน

แต่ถ้าเป็นเหมือนกัน มันเป็นสัญญาข้อมูล ไอ้ตัวกิเลส นี่ที่ว่าน้ำตาลอาบยาพิษ ยาพิษคือตัวอวิชชา คือตัวพญามาร มารนี้มันครอบงำจิตใจอยู่ มารนี้มันครอบหัวใจอยู่ ปัญญาที่เกิดขึ้นมา ปัญญาเกิดขึ้นจากมัน ถ้าปฏิบัติไปแล้วใช้วิปัสสนาญาณเข้าไป เห็นระหว่างกิเลสกับธรรมมันต่อสู้กันจะสยดสยองมากว่า กิเลสนี้มันร้ายกาจขนาดไหน

แล้วกิเลสร้ายกาจอย่างนี้ มันครอบคลุมความรู้สึกเรามาอย่างนี้ แล้วดูในปัจจุบันชาวพุทธนี่โม้กัน โอ้อวดกันด้วยกิเลสทั้งนั้นเลย เพราะมันไม่เห็นการกระทำของมัน ไม่เห็นปัญญาของมัน มันถึงไม่รู้จักปัญญาของมัน เห็นไหม นี่ว่าปัญญาๆ ปัญญาโดยกิเลสพาใช้ กับปัญญาโดยธรรมะพาใช้นะ

เราถึงจะต้องพยายามย้อนกลับ อย่าเชื่อความรู้สึกของตัว ครูบาอาจารย์เตือนตลอดไป อย่าเสียดายอารมณ์ความรู้สึก อย่าเสียดาย เหมือนกับเราพยายามสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมา เราจะทะนุถนอมมากเลย ทะนุถนอมมันก็ทะนุถนอมกิเลสนะ แต่ถ้าเราสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมาแล้วทำลายมันทั้งหมด ยิ่งทำลายยิ่งสะอาด ยิ่งทำลายยิ่งบริสุทธิ์ ยิ่งทำลายยิ่งยอดเยี่ยมนะ แต่ใครกล้าทำลายมัน?

นี่เวลาปัญญาของกิเลสมันจะสะสม กลัวจะไม่รู้ จะไม่รู้ธรรมะ จะไม่มีปัญญาใคร่ครวญตลอดไป ปัญญาอยู่กับเรานี่ไปถนอมมันไว้นะ ถนอมอย่างนั้นก็เท่ากับถนอมกิเลส มันมีปัญญาเหมือนกัน ปัญญาที่เราคิดมา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มันก็มียาพิษในกิเลสของเราสวมเขาไปด้วยตลอดเวลา

แต่ถ้าปัญญาธรรมนะ ทำลายมัน ทุบมัน ทำลายมัน ทุบมัน แล้วมันจะสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมา แต่ใครกล้าทำล่ะ? ไม่มีใครกล้าทำ เลยไม่เห็นของจริง เลยไม่รู้จักภาวนามยปัญญา เลยว่าปัญญาอย่างที่เราใคร่ครวญอย่างนี้ ปัญญาโดยกิเลสพาใช้กับปัญญาโดยธรรมพาใช้

ปฏิบัติไปเถิด แล้วทำโดยอย่าไปเชื่อมัน ย้อนทวนกระแสกลับไปจะเห็นสัจจะความจริง จะเห็นปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเห็นแบบครูบาอาจารย์ที่ชี้นำเข้าไป แล้วจะซึ้งใจมาก การซึ้งใจ การซาบซึ้ง การต่างๆ นี่มันเข้าไปสะเทือนความรู้สึกอันนั้น สะเทือนกิเลสตลอดไป ซาบซึ้งบ่อยครั้งเข้ามันก็มีการทุบมีการทำลายกันอยู่ตลอดไป จนถึงที่สุดมันต้องสะอาดได้ แล้วถ้ามันสะอาดมันก็คือความสะอาดที่เรารู้ขึ้นมา ความสะอาดนี้ไม่ต้องวิ่งไปหาใคร บอกฉันสะอาดหรือยัง ฉันสะอาดหรือยัง.. ไม่ต้องวิ่งไปหาใคร

แต่ขณะที่ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การศึกษา การปรารภธรรมกันนี้เพื่อเป็นวิธีการ เป็นแนวทางที่ควรทำ แต่ถ้าการรับรองเป็นไปไม่ได้ การรับรองนี่ เราสะอาดต้องสะอาดในหัวใจของเรา เห็นไหม ทุกข์.. ทุกข์ที่นี่ สุข.. สุขที่นี่ ดับ.. ดับที่นี่ รู้.. รู้ที่นี่ เอวัง